Skip to main content

การบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ

บริษัทจัดให้มีระบบการควบคุมภายในและการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ มีแนวทางปฏิบัติตามกฎหมาย มาตรฐาน และนโยบายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยจัดให้มีหน่วยงานตรวจสอบภายในที่มีความเป็นอิสระ ในการปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบในการพัฒนา และสอบทานประสิทธิภาพของระบบการควบคุมภายในและการบริหารความเสี่ยงที่สำคัญ พร้อมทั้ง รายงานความเพียงพอของระบบ   
การควบคุมภายใน และการบริหารความเสี่ยงโดยตรงต่อคณะกรรมการตรวจสอบ

หากระบบการควบคุมภายใน และการบริหารความเสี่ยงมีประสิทธิภาพ จะเป็นการช่วยให้บริษัทสามารถคาดการณ์ และบริหารจัดการโอกาสด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม รวมถึงความเสี่ยง อันเกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่มีในปัจจุบันและอนาคต  การบริหารความเสี่ยงนับเป็นกระบวนการที่สำคัญที่ช่วยในการวางแผนรองรับความไม่แน่นอนทางธุรกิจ ได้อย่างเป็นระบบ โดยบริษัทนำมาตรฐานสากลมาเป็นกรอบในการดำเนินงาน เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมีความเข้าใจหลักการบริหารความเสี่ยงเพื่อนำไปพัฒนาและประยุกต์ใช้ในทุกระดับของบริษัทซึ่งครอบคลุมแนวทางการบริหารจัดการการดำเนินงานทั้งหมดของบริษัท

คณะกรรมการบริษัทได้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงซึ่งเป็นผู้มีความรู้ และมีความเชี่ยวชาญในการทำงานและการบริหารความเสี่ยง ประกอบด้วยสมาชิก 5 ท่าน ทำหน้าที่ในการดำเนินการทบทวนกรอบนโยบายการบริหารความเสี่ยงโครงสร้างการบริหารความเสี่ยง และจัดตั้งคณะทำงานบริหารความเสี่ยง ความยั่งยืนและบรรษัทภิบาล (“คณะทำงาน”) เพื่อทำงานควบคู่ตามนโยบาย     
รวมทั้งให้ข้อเสนอแนะแนวทางในการบริหารความเสี่ยงที่สอดคล้องต่อทิศทางกลยุทธ์การดำเนินงานและแผนธุรกิจ พร้อมการกำกับดูแลติดตามและสอบทานรายงานการบริหารความเสี่ยงที่สำคัญของหน่วยงานทั้งหมดเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป คณะทำงานบริหารความเสี่ยง ความยั่งยืนและบรรษัทภิบาล ประกอบด้วยสมาชิกจากหลากหลายฝ่าย โดยมีคุณชุลีพร บริสุทธนะกุล ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (กิจการองค์กร) เป็นประธานคณะทำงาน รับผิดชอบสูงสุดในระดับปฏิบัติการด้านการตรวจประเมินและการบริหารจัดการความเสี่ยงINC Risk Structure tpbi

บริษัทกำหนดกรอบนโยบายและระบบการดำเนินงานด้านการบริหารความเสี่่ยงที่่ครอบคลุมการดำเนินงานของทั้งองค์กร ตามแนวทางการบริหารความเสี่ยงองค์กร The Committee of Sponsoring Organizations of the Treadway Commission - Enterprise Risk Management (COSO-ERM) นำไปปฏิบัติทั่วทั้งองค์กรบ่งชี้กำหนดตัวชี้วัดความเสี่ยง (KRI) ที่อาจจะเกิดขึ้น รวมถึงจัดทำมาตรการบรรเทาความเสี่ยง ในส่วนผู้บริหารระดับสูงพิจารณาและกำหนดค่าระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Risk Appetite) กำกับดูแลและติดตาม และทบทวนกระบวนการบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ บริษัทได้จัดให้มีหน่วยงานตรวจสอบภายในจากองค์กรภายนอกที่มีความเป็นอิสระจากหน่วยงานบริหารความเสี่ยงและมีสายการรายงานไปยังคณะกรรมการตรวจสอบ โดยมีหน้าที่่ตรวจสอบและสอบทานระบบควบคุมภายในและระบบบริหารความเสี่ยงขององค์์กร เพื่อให้้มั่นใจว่าการบริหารงานมีีประสิทธิิภาพและประสิทธิิผล รวมทั้งสอดคล้องกับแนวทางของบริษัท โดยมีการรายงานผลการตรวจสอบให้้คณะกรรมการตรวจสอบและคณะกรรมการบริษัท เพื่อพิจารณาความเพียงพอและความเหมาะสมของระบบควบคุมภายในขององค์์กรเป็นประจำทุกไตรมาส

คณะกรรมการตรวจสอบได้แต่งตั้งบริษัท ออนเนอร์ ออดิท แอนด์ แอดไวซอรี่ จำกัด ให้ปฏิบัติหน้าที่ผู้ตรวจสอบภายในของบริษัท ซึ่งบริษัท ออนเนอร์ ออดิท แอนด์ แอดไวซอรี่ จำกัด ได้มอบหมายให้ นางสาวปิยมาศ เรืองแสงรอบ กรรมการบริหารด้านการตรวจสอบ เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการปฏิบัติหน้าที่ผู้ตรวจสอบภายใน โดยมีนางสาวทับทิม พิมพขันธ์ หัวหน้าแผนกตรวจสอบภายในเป็นผู้รับผิดชอบดูแลงานดังกล่าวภายในบริษัท

ลการบริหารจัดการความเสี่ยง

  1. สร้างวัฒนธรรมความเสี่ยงทั่วองค์กร : โดยจัดอบรมให้ความรู้ กำหนดให้การบริหารความเสี่ยงเป็นตัวชี้วัดผลงานของหน่วยงานเจ้าของความเสี่ยงและพนักงานทุกระดับ
    ในปีที่ผ่านมา กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานทุกระดับที่ผ่านการอบรมและทบทวนความรู้การบริหารจัดการความเสี่ยงร้อยละ 100
  2. พัฒนากระบวนการบริหารความเสี่ยงมาตรฐานสากล : มีการทบทวนแนวทางและข้อกำหนดให้มีประสิทธิภาพสูงพร้อมตรวจสอบโดยหน่วยงานตรวจสอบภายในทั้งจากในและนอกองค์กร
  3. ดำเนินการวิเคราะห์และจัดการความเสี่ยง : โดยระบุความเสี่ยง ประเมิน จัดลำดับความสำคัญ ควบคุม ติดตามจากคณะทำงานฯ ผู้บริหาร คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง และรายงานสถานะความเสี่ยงให้คณะกรรมการบริษัทรับทราบในทุก ๆ ไตรมาส
  4. กำหนดตัวชี้วัดความเสี่ยงสำคัญ (KRI) : คำนึงถึงปัจจัยภายในและภายนอก เพื่อวัดระดับความเสี่ยงและส่งเสริมการปรับตัวอย่างทันท่วงที
  5. ติดตามและทบทวนการบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ให้เป็นไปตามนโยบายและมีประสิทธิภาพ

ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์และการประกอบธุรกิจ
1. ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ (ความเสี่ยงอุบัติใหม่ (Emerging Risk)
ลักษณะความเสี่ยง : ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายพื้นที่ทั่วโลก รวมถึงสงครามรัสเซีย-ยูเครน และความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ราคาน้ำมันดิบ และเม็ดพลาสติก
ผลกระทบจากความเสี่ยง :
1) การขาดแคลนวัตถุดิบเนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรทางการค้า
2) ความล่าช้าในการจัดส่งวัตถุดิบเนื่องจากระยะเวลาการขนส่งที่ยาวนานขึ้น
3) ความล่าช้าในการจัดส่งสินค้าสำเร็จรูปไปยังลูกค้า
4) ความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบโดยเฉพาะเม็ดพลาสติก
มาตรการจัดการความเสี่ยง :
1) ประสานงานกับซัพพลายเออร์เพื่อหาเส้นทางการจัดหาวัตถุดิบทางเลือก
2) จัดตั้งศูนย์การผลิตย่อยใกล้กับที่ตั้งของลูกค้า
3) พิจารณาการสร้างคลังวัตถุดิบสำรองในปริมาณที่เหมาะสม
2. ความเสี่ยงจากกลยุทธ์เพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค
ลักษณะความเสี่ยง : พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง มีแนวโน้มลดการใช้บรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียว และมีความต้องการผลิตภัณฑ์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น
ผลกระทบจากความเสี่ยง :
1) ยอดขายผลิตภัณฑ์เดิมลดลง
2) สูญเสียส่วนแบ่งตลาด
3) ต้นทุนการพัฒนาด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น
มาตรการจัดการความเสี่ยง :
1) วางกลยุทธ์เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)
2) พัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
3) เพิ่มสัดส่วนพลาสติกรีไซเคิล
4) พัฒนาผลิตภัณฑ์ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ
3. ความเสี่ยงจากการพึ่งพิงผู้จัดจำหน่ายวัตถุดิบที่มีจำกัด
ลักษณะความเสี่ยง : พึ่งพิงผู้จัดจำหน่ายวัตถุดิบน้อยราย และมีจำนวนจำกัด อาจทำให้ขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในกระบวนการผลิต
ผลกระทบจากความเสี่ยง :
1) การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานที่อาจเกิดขึ้น
2) ความเสี่ยงของการขาดแคลนวัตถุดิบ
3) อำนาจในการเจรจาลดลง
มาตรการจัดการความเสี่ยง :
1) กระจายแหล่งจัดซื้อวัตถุดิบ
2) ทำสัญญาระยะยาวกับผู้จำหน่าย
3) หาแหล่งวัตถุดิบทางเลือก
4. ความเสี่ยงจากวัตถุดิบหลักมีราคาผันผวน
ลักษณะความเสี่ยง : ความผันแปรตามอุปสงค์และอุปทานของเม็ดพลาสติกและราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
ผลกระทบจากความเสี่ยง :
1) ต้นทุนการผลิตมีความผันผวน
2) ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าและกำไร
มาตรการจัดการความเสี่ยง :
1) วิเคราะห์และติดตามราคาอย่างใกล้ชิด สำรองวัตถุดิบให้เพียงพอต่อการใช้งาน
2) บริษัทเจรจาตกลงกับลูกค้าเพื่อปรับราคาขายให้เหมาะสมกับต้นทุนเม็ดพลาสติกที่เปลี่ยนแปลง


ความเสี่ยงด้านการบริหารจัดการและการปฏิบัติงาน
1. ความเสี่ยงจากการเสื่อมสภาพของสินค้าคงเหลือ
ลักษณะความเสี่ยง : ความล่าช้าในการจำหน่ายสินค้า การรอ การส่งมอบให้กับลูกค้า รวมถึง กรณีที่ลูกค้าขอให้ชะลอการส่งมอบ
ผลกระทบจากความเสี่ยง :
1) อายุของสินค้าคงคลัง อาจทำให้มีการเสื่อมสภาพของสินค้าได้
2) กระทบต้นทุนการผลิตที่ใช้ไปกับสินค้านั้น ๆ
มาตรการจัดการความเสี่ยง :
1) วางแผนบริหารสินค้าคงคลัง พัฒนาระบบการคาดการณ์และควบคุมสต็อก
2) วางแผนการขายอย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ
2. ความเสี่ยงจากภัยคุกคามไซเบอร์
ลักษณะความเสี่ยง : อาจถูกโจรกรรมข้อมูลสำคัญหรือข้อมูลเป็นความลับ หรือทำให้ระบบการผลิตเกิดการหยุดชะงักได้ ทำให้กระทบต่อการทำงานหรือกระทบต่อลูกค้า/คู่ค้าทางธุรกิจ
ผลกระทบจากความเสี่ยง :
1) ความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ
2) ความน่าเชื่อถือ ภาพลักษณ์และชื่อเสียง
3) ข้อมูลทางการค้าถูกโจรกรรม
มาตรการจัดการความเสี่ยง :
1) ทดสอบและตรวจประเมินผลแผนป้องกันเชิงรุกจากการถูกโจมตี
2) ซ้อมแผนรับมือภัยคุกคามการโจมตีด้านไซเบอร์ และแผนการกู้คืนระบบสารสนเทศ


ความเสี่ยงด้านการเงิน
ความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
ลักษณะความเสี่ยง : ส่งผลต่อรายได้และต้นทุนที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ
ผลกระทบจากความเสี่ยง :
1) กระทบต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัท
2) กระทบรายได้และกำไร
3) ความไม่แน่นอนทางการเงิน
มาตรการจัดการความเสี่ยง :
1) ทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า


ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและกฎหมาย
ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบและกฎหมายเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ
ลักษณะความเสี่ยง : การบังคับใช้กฎหมายห้ามใช้ถุงหูหิ้วแบบใช้ครั้งเดียวในตลาดหลัก เช่น ไทย สหรัฐอเมริการ อังกฤษ ออสเตรเลีย เป็นต้น รวมถึงนโยบายอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อมและการออกกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้นในประเทศคู่ค้า
ผลกระทบจากความเสี่ยง :
1) ผลกระทบต่อรายได้และยอดขายผลิตภัณฑ์เดิมลดลง
2) ต้นทุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มขึ้น
3) ความท้าทายในการปรับตัวตามกฎระเบียบที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ
มาตรการจัดการความเสี่ยง :
1) ศึกษากฎหมายและทิศทางกฎหมายในพื้นที่ของลูกค้าเดิม
2) มุ่งหาตลาดใหม่เพื่อทดแทนยอดขายที่ลดลง
3) พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสม Recycle
4) ลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG)
1. ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (E)
ลักษณะความเสี่ยง : ภาครัฐมีการผลักดันให้ภาคธุรกิจลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และความเข้มงวดของกฎหมาย
ด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศลูกค้า
ผลกระทบจากความเสี่ยง :
1) ต้นทุนการปรับกระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
2) ความเสี่ยงจากมาตรการสิ่งแวดล้อมในประเทศลูกค้า เช่น Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM)
3) ผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ
มาตรการจัดการความเสี่ยง :
1) บริหารจัดการพลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
2) ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน นำปัจจัยด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาพิจารณาในการลงทุน
3) ดำเนินการขอการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ (CFP) และฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (CFR)
2. ความเสี่ยงจากการยอมรับจากชุมชน (S)
ลักษณะความเสี่ยง : ผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจที่มีต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม และการเติบโตของชุมชนในพื้นที่รอบโรงงาน
ผลกระทบจากความเสี่ยง :
1) การดำเนินธุรกิจก่อให้เกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมแก่ชุมชน
2) ความเสี่ยงต่อภาพลักษณ์และชื่อเสียงองค์กร
3) การสูญเสียการยอมรับจากชุมชน (Social License to Operate)
มาตรการจัดการความเสี่ยง :
1) ดำเนินการตามมาตรฐานระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14001
2) สำรวจความคิดเห็นของชุมชนเพื่อรับฟังข้อกังวลและข้อเสนอแนะ
3) เปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างโปร่งใส
3. ความเสี่ยงจากการทุจริตคอร์รัปชัน
ลักษณะความเสี่ยง : เกิดการทุจริตและคอร์รัปชันในการดำเนินธุรกิจ
ผลกระทบจากความเสี่ยง :
1) การสูญเสียรายได้จากการทุจริต
2) การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
3) ความเสียหายต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือ
4) ความเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีทั้งในและต่างประเทศ
มาตรการจัดการความเสี่ยง :
1) จัดทำและสื่อสารคู่มือจรรยาบรรณจริยธรรมทางธุรกิจแก่พนักงานและคู่ค้า
2) กำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติการต่อต้านคอร์รัปชัน
3) จัดโครงสร้างบริหารที่โปร่งใสและตรวจสอบได้
4) เพิ่มช่องทางแจ้งเบาะแสการทุจริตที่ปลอดภัย


การบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan: BCP)
เพื่อให้มั่นใจว่าองค์กรสามารถรักษาการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องแม้ในภาวะวิกฤต บริษัทได้นำแนวทางการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจมาปรับใช้ โดยให้ความสำคัญกับการวางแผนเชิงกลยุทธ์ การปรับปรุงกระบวนการทำงาน และการจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสม บริษัทได้จัดทำแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจโดยพัฒนาแนวปฏิบัติที่สอดคล้องกับหลักการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ครอบคลุมพื้นที่ปฏิบัติงานที่สำคัญของบริษัท ซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นในการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายว่าบริษัทสามารถดำเนินธุรกิจและส่งมอบสินค้าได้แม้ในช่วงเวลาวิกฤต
ในปี 2567 บริษัทได้จัดการฝึกซ้อมแผนรองรับความต่อเนื่องประจำปีที่จำลองสถานการณ์เหตุเพลิงไหม้ภายในอาคาร เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของแผนงานและนำข้อค้นพบมาพัฒนาปรับปรุงวิธีปฏิบัติงาน โดยมุ่งเน้นการฟื้นฟูการดำเนินงานให้กลับสู่ภาวะปกติได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ไม่เพียงแค่เรื่องการซ้อมหนีไฟเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงการรักษาความต่อเนื่องในกระบวนการทำงานที่สำคัญทั้งหมด