จากแนวโน้มกระแสตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้หลายบริษัทเพิ่มความต้องการการใช้เม็ดพลาสติกรีไซเคิลชนิดที่ผ่านการบริโภคแล้ว (Post Consumer Recycled) หรือเรียกสั้นๆ ว่า เม็ด PCR โดยถูกกำหนดมาให้ใช้ในบรรจุภัณฑ์ของสินค้าต่างๆ มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เนสเล่ ที่ตั้งเป้าเพิ่มการใช้ PCR ในบรรจุภัณฑ์ของเนสเล่ถึงระดับ 30% หรือ ลอรีอัล ที่ตั้งเป้าในการใช้ PCR ในระดับ 50% เลยทีเดียว นอกจากนั้นกฎหมายในหลายประเทศเริ่มบังคับใช้ให้มีส่วนผสมของ PCR ในบรรจุภัณฑ์ต่างๆ เช่น ในรัฐแคลิฟอเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
จากกระแสความต้องการเม็ดพลาสติก PCR ที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว ก่อให้เกิดปัญหาการขาดแคลนที่ส่งผลสำคัญทำให้เป้าหมายที่ต้องการลดการใช้พลาสติกให้ได้ภายในปี 2025 ของเหล่าบริษัทแบรนด์สินค้าระดับโลกเป็นไปได้ยากมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งปัจจุบันย่างเข้าสู่ปี 2023 แล้ว แต่ความคืบหน้าที่เปิดเผยออกมาล่าสุด มีแนวโน้มที่จะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ภายในปี 2025
ดูเหมือนแนวทางในการจัดการต่อเรื่องดังกล่าวยังไม่ตรงเป้านัก เพราะตัวเลขอัตราการใช้เม็ด PCR กับ เม็ดใหม่ระหว่างปี 2020 – 2021 เพิ่มขึ้นเพียง 2.5%
เหตุผลหลักๆ ที่ทำให้เม็ดรีไซเคิลไม่เพียงพอต่อความต้องการ มีดังนี้…
- แต่ไหนแต่ไรมา การออกแบบบรรจุภัณฑ์นิยมออกแบบโดยหลักคิดแบบ Virgin Mentality
หมายถึง การออกแบบโดยยึดหลักว่าเม็ดพลาสติกที่ใช้เป็นเม็ด virgin (เม็ดที่ผลิตใหม่ ยังไม่ผ่านการแปรรูปหรือการรีไซเคิลใดๆ) เหตุผลคือ ใช้งานง่าย ได้มาตรฐาน ทำให้การผลิตมีต้นทุนต่ำและใช้งานได้หลากหลายประเภทสินค้า และสำคัญที่สุด คือ มีซัพพลายเพียงพออยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อเกิดความต้องการใช้เม็ดรีไซเคิล PCR เพิ่มมากขึ้น ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์จำเป็นต้องหาเม็ดรีไซเคิลที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับเม็ด virgin ให้มากที่สุด ถ้าหากคุณสมบัติบางอย่าง เช่น สี มีความแตกต่างจากเม็ด virgin ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ต้องปรับเครื่องจักรเพื่อให้สามารถใช้เม็ด PCR เหล่านั้นได้ ซึ่งจากเหตุผลนี้เอง ทำให้สินค้าจาก PCR มีต้นทุนที่สูงกว่าหรือมีคุณลักษณะที่แตกต่างจากสินค้า virgin
ซึ่งในตอนนี้เม็ดรีไซเคิล PCR ที่เหมาะสมกับการนำกลับมาใช้แล้วต้นทุนไม่แตกต่างมาก มีเพียงกลุ่มขวดพลาสติก PET และขวด HDPE แต่ถึงตอนนี้ เรายังคงเจอเพียงเสื้อผ้า รองเท้า หรือขวดแชมพูที่ผลิตจากขวดน้ำ Recycled PET (rPET) แต่ไม่เคยเจอเสื้อผ้าที่ผลิตจากเสื้อผ้าที่ใช้แล้ว หรือ ไม่เคยเจอขวดแชมพู rPET ที่ผลิตจากขวดแชมพูที่ใช้แล้ว แต่ตอนนี้เกือบทั้งหมดผลิตจากขวดน้ำ PET
ซึ่งกระบวนการเช่นนี้เป็นการดึงพลาสติก food grade ออกจากระบบเพื่อนำไปใช้ในการผลิตสินค้าต่างๆ ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นกลุ่ม non food แต่ในทางตรงกันข้าม เรากลับไม่สามารถนำเสื้อผ้าหรือสินค้ากลุ่ม non food เหล่านั้นมาใช้ผลิตเป็นพลาสติก food grade ได้เลย
- ปัญหาต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ทำให้ต้นทุนการรีไซเคิลเพิ่มขึ้นไปอีก
นับตั้งแต่เกิดสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ส่งผลกระทบกับราคาพลังงานในยุโรปและประเทศอื่นๆ ทั่วโลกอย่างมาก ซึ่งกระบวนการรีไซเคิลล้วนแล้วแต่ต้องใช้พลังงานในการเปิดเตาหลอมและเครื่องจักร จึงได้รับผลกระทบแบบเต็มๆ ยกตัวอย่างเช่น บริษัทรีไซเคิลในยุโรปมีต้นทุนด้านพลังงานพุ่งขึ้นจนเป็นสัดส่วนถึง 70% ของต้นทุนทั้งหมด ทำให้หลายบริษัทปิดตัวลงเนื่องจากไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นได้อีกต่อไป จึงส่งผลต่อเนื่องไปยังบริษัทแบรนด์สินค้าระดับโลกหลายๆ รายที่ยังต้องพึ่งพาพลาสติกรีไซเคิล (PCR) จากบริษัทรีไซเคิลเหล่านี้
และจากสถานการณ์ต้นทุนสินค้าที่มีส่วนผสมของ PCR เพิ่มสูงขึ้นนั้น ส่งผลให้บริษัทแบรนด์สินค้าระดับโลกเหล่านั้นไม่สามารถเดินหน้าต่อเพื่อใช้สินค้าที่มีส่วนผสมของ PCR ได้ในช่วงที่ผ่านมา
- การสนับสนุนจากภาครัฐยังไม่เพียงพอ
จากรายงานของหลายแหล่งข่าว อาทิ Greenpeace, Ellen McArthur Foundation พบว่า บริษัทส่วนมากยังไม่ได้ให้ความร่วมมือในระดับสมัครใจมากพอ ส่งผลให้การใช้สัดส่วนสินค้าที่มีรีไซเคิล (PCR) ต่ำกว่าเป้าที่ประกาศไว้อย่างมาก อีกทั้ง การที่ภาครัฐจากหลายๆ ประเทศได้ประกาศใช้ข้อบังคับด้านการใช้ PCR มากขึ้น เช่น ประกาศ AB793 ในรัฐแคลิฟอร์เนีย หรือ Plastic and Plastic Waste Directive ของสหภาพยุโรป ยิ่งทำให้ความต้องการ PCR มีมากยิ่งขึ้น ซึ่งในความเป็นจริง ภาครัฐควรต้องมีข้อกำหนดต่อเรื่องนี้มากขึ้นด้วย เช่น การสนับสนุนโครงสร้างการรีไซเคิล เทคโนโลยี หรือแม้กระทั่งการออกมาตรการให้เกิดการ closed loop ภายในประเภทสินค้าเดียวกันมากขึ้น เช่น ขวดน้ำจะต้องถูกนำกลับไปทำขวดน้ำรีไซเคิล เป็นต้น
แล้วอนาคต…ควรจะมีแนวทางอย่างไร?
แนวทางที่ควรจะเป็นคือ การออกแบบสินค้าต่างๆ ควรมาจากมุมมองของ Waste Mentality กล่าวคือ การออกแบบให้การรีไซเคิลใช้วัสดุที่หาได้ง่ายและหมุนเวียนอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เดียวกัน หรือการออกแบบให้เกิดการใช้แบบ Closed loop ได้แบบสมบูรณ์นั่นเอง เช่น ขวดแชมพูที่ถูกเก็บมา ควรคัดแยกเพื่อนำกลับมาทำขวดแชมพูอีกครั้ง อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงการออกแบบสีขวดแชมพูที่ควรจะเน้นใช้สีเข้ม สีเทา สีคล้ำๆ หรือสีดำไปเลย เพราะการนำขวดสีต่างๆ มารีไซเคิลรวมกัน สุดท้ายแล้วสีที่ได้จะออกมาเป็นสีเทาเข้มหรือดำนั่นเอง
นอกจากแนวทางข้างต้นแล้ว ผู้บริโภคก็ต้องร่วมด้วยช่วยกันลดการใช้ Single Used Packaging อีกด้วย ซึ่งแนวทางเหล่านี้นับว่าเป็นการปรับตัวอย่างใหญ่หลวงของผู้บริโภค ถือเป็นความยากระดับเดียวกับการที่เราเปลี่ยนวิถีการเดินทางจากรถม้ามาเป็นรถยนต์เลยทีเดียว...
--------------------------------------------
แปลและเรียบเรียงจาก https://www.greenbiz.com/article/there-isnt-enough-recycled-plastic-companies-meet-commitments-what-now