Skip to main content

Presentation1.jpg

ในปี พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นจากภาวะการขาดแคลนพลังงานและอาหารเนื่องจากสงครามในยูเครน ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นและความตึงเครียดทางการเมืองจากทั่วโลก สร้างผลกระทบด้านลบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจและต่อเนื่องมาถึงปี 2566 ที่คาดการณ์ว่า GDP โลกมีแนวโน้มที่จะลดลง 2.3% แต่ท่ามกลางความท้าทายต่าง ๆ เหล่านี้ กลับส่งผลให้ทุกภาคส่วนหันมาใส่ใจปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา เหตุผลส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากผลของการประชุม COP272 ซึ่งระบุว่า หากปล่อยให้อยู่ในสภาพแบบนี้ต่อไป อุณหภูมิของโลกจะเพิ่มสูงขึ้นอีก 1.5 องศาเซลเซียสภายในปี 2593 ซึ่งจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพและเศรษฐกิจอย่างแน่นอน

รายงานจาก Geopost และ Euromonitor International ระบุว่าภาคธุรกิจต่างตระหนักถึงการให้คุณค่ากับความยั่งยืน และให้ความสำคัญกับการดูแลใส่ใจโลกและผู้คนควบคู่ไปกับผลกำไรมากขึ้น โดยผลจากการสำรวจบริษัทต่างๆ ในปี 2565 พบว่ามีถึง 82% ที่มีการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับการลดภาวะโลกร้อน อย่างไรก็ตาม ก็พบว่าธุรกิจจำนวนมากกำลังประสบกับปัญหาในทำให้ผลกำไรเติบโตไปพร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและผู้คน

รายงานนี้ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของมุมมองที่ว่า ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม เป็นการลงทุนลงแรงเพื่อผลักดันร่วมกันระหว่างภาคธุรกิจและผู้บริโภค โดยในภาคธุรกิจ ซึ่งรวมถึง นักลงทุน คู่ค้า ซัพพลายเออร์ จะต้องมีระบบนิเวศที่ประสานความพยายามในการสร้างคุณค่าและผลกระทบร่วมกัน มีการนำเสนอแผนงานสำหรับธุรกิจที่มีความท้าทายในด้านการสร้างความยั่งยืน โดยเน้นไปที่ประเด็นต่างๆ เช่น การยึดมั่นต่อวาระแห่งความยั่งยืนของแต่ละองค์กร, ความเชื่อมโยงความยั่งยืนเข้ากับการดำเนินธุรกิจ, การมีส่วนร่วมในการสื่อสารข้อมูลกับผู้บริโภค และเน้นความรับผิดชอบต่อสังคมภายในบริษัท เป็นต้น

ในขณะที่ผู้บริโภคเองนั้น ก็มีบทบาทสำคัญต่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมเช่นกัน แม้ว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่จะแสดงความกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและพยายามเลือกใช้สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด แต่ก็ต้องยอมรับว่า ด้วยปัจจัยด้านคุณภาพหรือราคาที่สูงกว่าราคาสินค้าแบบดั้งเดิมก็สร้างข้อจำกัดต่อการบริโภคอย่างยั่งยืนได้เช่นกัน ดังนั้น การลดช่องว่างระหว่างค่านิยมที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมและความสามารถในการซื้อของผู้บริโภค จึงเป็นโจทย์ที่สำคัญที่ภาคธุรกิจและผู้บริโภคต้องร่วมมือกันเพื่อหาทางเลือกที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการและงบประมาณของผู้บริโภคแต่ละคน

โดยภาพรวม แม้ภาคธุรกิจจะต้องเผชิญกับปัญหาท้าทายต่าง ๆ ในความพยายามปรับตัวไปสู่การรักษาความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม แต่จากรายงานข้างต้นทำให้เชื่อมั่นได้ว่า ธุรกิจที่สามารถสร้างคุณค่าและความสำเร็จในระยะยาวได้ คือ ธุรกิจที่ใส่ใจในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสังคม ดังนั้น ด้วยความยึดมั่นในพันธะสัญญาต่อสิ่งแวดล้อมและการเปิดรับว่า ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม...เป็นการลงทุนร่วมกัน สุดท้ายแล้ว ภาคธุรกิจและผู้บริโภคจะสามารถร่วมมือกันเอาชนะอุปสรรคและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้นได้แน่นอน

..................................................................

เครดิต : ยูโรมอนิเตอร์ (www.euromonitor.com/whitepaper/sustainability-in-times-of-uncertainty)